รวมความรู้ด้านสุขภาพ Health Knowledgeศาสตร์ชะลอวัย Anti-aging

ภัยจากอาหาร

กินอาหารอย่างไร ร่างกายก็เป็นอย่างนั้น

ถ้าเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อน ปัญหาโรคภัยจากอาหาร ยังมีไม่ชุกชุมเหมือนสมัยนี้

ที่ทุกอย่าง เปลี่ยนไปหมด ผู้คนกินเนื้อสัตว์ไขมัน ของหวาน ของเค็ม มาก

จนเกินพิกัด ที่ร่างกายจะต้านรับไม่ไหว ส่งผลให้สุขภาพของคนสมัยนี้ เสื่อมไปเร็วกว่าที่คิด

และอาการเสื่อมของร่างกาย ก็คือต้นเหตุ

โรคภัยที่มารุมเร้า เช่น โรคความดันโรคหัวใจ โรคไขมันในเส้นเลือด โรคมะเร็ง 

โรคเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจาก การไม่ใส่ใจในอาหาร

ส่วนใหญ่เป็นการกินมาก เท่าที่ใจอยาก แต่ไม่มากเท่าที่ร่างกายต้องการ

โรคขาดสารอาหาร จึงเกิดขึ้นได้เสมอ

แม้กับคนที่อุดมด้วยอาหาร แต่เลือกอาหารไม่เป็น

ภัยจากอาหารแฝงตัวในอาหารเกือบทุกชนิด เป็นภัยที่รู้จักกันดี

เพียงแต่อาจมองข้าม เพราะฤทธิ์ของมันจะไม่เกิดขึ้นทันที เหมือนอาหารเป็นพิษ

แต่จะสะสมในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่ง ที่ร่างกายไม่อาจทนได้

มันก็จะฟ้องออกมา เกิดอาการผิดปกติขึ้นต่อร่างกาย

อาการเหล่านี้ ก็คือ ความเจ็บป่วยทั้งหลายนั่นเอง


นอกจากนี้ ควรระวังอาหารแสลง สัตว์ที่ไม่ใช่อาหารของมนุษย์

อาหารเหล่านี้จะไปทำร้าย ระบบย่อยอาหาร

ทำให้ร่างกายไม่อาจย่อย หรือขัดขวางดูดซึม สร้างปั่นป่วน จึงควรระวังไว้บ้าง

เพราะอาหารเหล่านี้ บ้านเรามีเยอะแยะไปหมด

ความหวานของน้ำตาล

น้ำตาลเป็นของหวานลิ้น ที่ใครๆก็ชอบ แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ความหวานลิ้นนั้นแฝงไปด้วยอันตราย

กินน้ำตาลไม่เกินวันละ 4 ช้อนชา ร่างกายจัดการกับมันได้สบาย แต่ถ้ามากกว่านั้น

น้ำตาลจะไปเปลี่ยนสภาพที่เป็นกลางของเลือดให้เป็นกรด

ซึ่งความเป็นกรดของเลือด จะส่งผลต่อการทำงาน

โปรตีนจากสัตว์สี่เท้า

กินได้ในระดับปริมาณที่ไม่มากเกินไป หรือราว 1/4 ของปริมาณอาหารแต่ละมื้อ ปัญหาของเนื้อสัตว์ 4 เท้า คือ

ย่อยยาก กรดน้ำย่อยในกระเพาะ และลำไส้ มีฤทธิ์ไม่รุนแรงมากพอที่จะย่อยโปรตีนชนิดนี้

รวมกับแป้งในปริมาณที่มาก ในคราวเดียวกัน

จึงเกิดการหมักเน่าขึ้นในท้อง ตับและไต ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อล้างพิษอันนี้

คนวัยรุ่น กินเนื้อสัตว์ใหญ่ได้มากกว่าคนมีอายุ เนื่องจากระบบย่อยทำงานได้ดีกว่า

ถึงกระนั้นสารพิษ ที่สะสมจากเนื้อสัตว์ เช่น ไขมันอิ่มตัว สารเร่งการเจริญเติบโตที่ยังตกค้าง

จะส่งผลต่อร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น 

ดังนั้นการลดปริมาณเนื้อสัตว์สี่เท้า จึงจำเป็นยิ่งสำหรับผู้มีอายุเกิน 40 ปี

ผลพวงของการกินเนื้อสัตว์มาก คือ เจ็บป่วยด้วยโรคกระดูกพรุนของระบบประสาท

ทำให้เป็นคนขี้วิตกกังวลและหดหู่ กินน้ำตาล ในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร ม้าม ตับอ่อน

ทำให้ระบบควบคุมน้ำตาลในร่างกายเสียหาย เป็นโรคเบาหวาน กลายเป็นคนอ้วน ผิวพรรณ หน้าตาหมอง ไม่สดใส


เนื่องจากการขาดสารอาหาร

ไขมันอิ่มตัว จากเนื้อ นม ไข่

พบมากในเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู หรือในหนังของสัตว์ปีก เช่น หนังเป็ด หนังไก่ หนังหมู รวมถึงไข่ นม เนยทุกชนิด

เป็นตัวการหลักในการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจเส้นเลือดฝอย

ทำให้เป็นโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคความดัน

วิธีเลี่ยงการสะสมไขมันอิ่มตัวในกระแสเลือด ทำได้โดย ลดการกินเนื้อสัตว์สี่เท้า แล้วเปลี่ยนมากินเนื้อปลาแทน

โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก ที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง รวมถึง กรดไขมัน ЕНА และ DHA

กรดไขมันเหล่านี้ หาได้ยากในอาหารประเภทอื่น

นอกจากนี้ควรเปลี่ยนชนิดของน้ำมันปรุงอาหาร ใช้น้ำมันพืชเเทน เช่น น้ำมันจากข้าว หรือถั่วเหลือง

จะให้ดียิ่งขึ้น เปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะกอก ที่มีสารช่วยป้องกันการเป็นโรคหัวใจ

กุ้งกับปลาเลือกอะไรดี

คนส่วนใหญ่รู้ดีว่า กุ้ง มีไขมัน คอเลสเตอรอลสูง แต่ก็ยังเป็นที่รับได้ ถ้ากินในปริมาณไม่มากนัก

ส่วนปลา ถ้าจะให้ดี เลือกปลาทะเล เช่น แซลมอล ปลาทู ปลาอินทรี หรือปลาซาบะ

ไม่เพียงแต่จะมีระดับไขมัน คอเลสเตอรอลต่ำกว่าแล้ว ยังมีกรดโอเมก้า3 ที่ช่วยต่อต้าน โรคหัวใจอีกด้วยนะ

การเลือก ปลาทะเลจึงน่าจะดีกว่าด้วย ประการทั้งปวง

ความเค็มของเกลือ

เป็นหนึ่งในห้ารสชาติ ที่คุ้นลิ้นมานาน หลายคน ชอบเค็ม 

เนื่องจาก มันช่วยดึงรสชาติอาหาร เพิ่มความเข้มข้น 

ความเค็มจากธรรมชาติ เช่น เกลือทะเล หรือจากการหมัก เช่น น้ำปลา จะสร้างความเป็นด่าง ให้กับเลือด เสริมความแข็งแรงต่อร่างกาย

แต่การกินเค็มมากไป ระวังจะกลายเป็นคนเค็ม แล้งน้ำใจ

ความเค็มจะไปดึงน้ำออกจากร่างกาย ทำให้เลือดข้นซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจ

เพราะหัวใจจะเหนื่อยมาก ในการปั้มเม็ดเลือด หล่อเลี้ยงร่างกาย ทำให้เป็นโรคความดันสูงได้ง่าย

เกลือที่ดี ควรได้จากธรรมชาติ เช่น เกลือทะเล ที่ไม่ผ่านขบวนการฟอกสี

ขบวนการนี้จะสกัดแร่ธาตุ วิตามินดีๆ ออก จนหมดเหลือแต่ความเค็มล้วนๆ ซึ่งไม่ค่อยจะมีประโยชน์นัก

การกินเกลือที่ถูกต้อง คือเหยาะใส่อาหารขณะปรุง ไม่ใช่หลังจากที่ปรุงอาหารแล้ว

ความเค็มจะคลุกเคล้า ในอาหารได้ดีกว่าอีกทั้ง อย่ามือเติบ กินเกลือหรือน้ำปลา มากเกินไป

โดยเฉพาะผู้ป่วยด้วยโรคความดันสูง ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการกินเกลือยิ่งขึ้น

ถ้าเป็นอาหารสำเร็จรูป อย่าลืมอ่านฉลากข้างกล่อง ว่าเป็นแบบ ” low sodium” หรือไม่

เพราะอาหารสำเร็จรูปมักใส่เกลือมากพอๆ กับผงชูรส

โทษของการกินเค็มมากไป ยังทำให้เป็นโรคแผลเปื่อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เครียด เก็บกด

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า กินเค็มมากไป จะส่งผลให้กลายเป็น คนชอบความรุนแรง ก้าวร้าวอีกด้วย

จำไว้ว่า กินเกลือ กินน้อย กินนาน เป็นคุณต่อสุขภาพ

มากินกระเทียมกับหอมใหญ่กันดีกว่า

เคยคิดกันว่า กระเทียมกับหอมใหญ่ เป็นอาหารไม่มีประโยชน์ ดีแต่ทำให้มีกลิ่นปาก

แต่เดี๋ยวนี้ นักวิจัยพบแล้วว่า ในหัวหอมใหญ่มีสารฟลาโวนอยด์  ซึ่งต่างก็มีคุณสมบัติปกป้องหัวใจ

ต่อไปนี้ ใครจะว่าปากเหม็นกลิ่นกระเทียม ก็ไม่สนแล้ว

แคลเซียมจากนม

คนส่วนมากได้รับการปลูกฝัง ให้ดื่มนมกันทุกวัน เพื่อเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกาย

แคลเซียมดีต่อ กระดูกเเละฟัน แต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกมาด้วย ก็คือ

ถ้าร่างกายไม่ขาดแคลเซียม ส่วนเกินของมันจะถูกขับทิ้งเสมอ

ส่วนที่เหลือยังสะสมในร่างกาย จะถูกจับไว้ในเส้นเลือด ทับถมตามเนื้อเยื่อ ข้อต่อ ในชั้นผิวหนัง หรือในอวัยวะบางตัว

แคลเซียมที่สะสมมาก จะทำให้เป็นโรคไขข้ออักเสบ ต้อกระจกที่ตา หรือเเม้แต่เป็นนิ่วที่ไต

ปกติร่างกายจะได้รับแคลเซียมจากอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพาะอาหารประเภทถั่วงา ผักใบเขียว เต้าหู้ 

สาหร่ายทะเล ก็มีแคลเซียมมากพอความต้องการ

แต่การที่ร่างกายขาดแคลเซียมนั้น ก็เนื่องมาจาก  เม็ดเลือดขาดสมดุล มีความเป็นกรดมากไป

จากการกินเนื้อสัตว์ น้ำตาล แอลกอฮอล์ ติดต่อเป็นเวลานาน

ร่างกายจึงต้องนำแคลเซียม ที่สะสมมาใช้ เพื่อทำการปรับสมดุลของตัวเอง

นานเข้าหากร่างกาย ไม่ได้รับแคลเซียมทดแทนอย่างเพียงพอ

แคลเซียมในกระดูกก็จะเริ่มพร่อง ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนในตัวผู้ชาย

วิธีดีที่สุด ในการป้องกันตัวเองจากโรคนี้ จึงต้องเริ่มกันที่ปรับอาหารการกิน ไม่กินเนื้อสี่เท้ามากไป

ลดปริมาณน้ำตาลหรือของหวานตลอดจนอาหาร ที่สร้างความเป็นกรดให้กับร่างกาย

ทำไม นม จึงไม่เหมาะต่อการเป็นแหล่งแคลเซียมของร่างกาย เพราะในน้ำนม มีสารตัวหนึ่ง

ชื่อ “คาเซอิน” สารตัวนี้ย่อยสลายยากมาก และมักไปเกาะเคลือบตามผนังกระเพาะอาหาร

ขัดขวาง การหลั่งของน้ำย่อย และการดูดซึม

ทำให้อาหารบูดเน่า อยู่ในกระเพาะอาหาร

การบูดเน่าของคาเซอิน ยังส่งผลร้ายต่อระบบย่อยอาหาร ลำไส้ ตับอ่อน ถุงน้ำดีอีกด้วย

ดังนั้น นมจึงควรเป็นทางเลือก สุดท้ายของการเสริมแคลเซียมให้กับร่างกาย

โดยการเลือกกินอาหารที่ถูกต้อง ร่างกายจะได้รับสารอาหาร ทุกอย่างที่จำเป็นโดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมเลย

ชากับกาแฟ อะไรดีกว่ากัน

เคยคิดกันว่ากาแฟไม่ดีต่อร่างกาย ทำให้ความดัน เลือดขึ้นสูง เเละอาจเป็นสาเหตุของโรคในระบบหมุนเวียนเลือด

ชาจึงปลอดภัยมากกว่า แต่งานวิจัยใหม่ๆ กลับชี้ว่า กาแฟก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน

แต่ต้องเป็น กาแฟดำ ไม่นม ไม่น้ำตาลเท่านั้นนะ


สารฟลาโวนอยด์ในกาแฟและชานั้น ทำหน้าที่ปกป้องหัวใจได้ดี

Cr. สุขภาพผู้ชาย