รวมความรู้ด้านสุขภาพ Health Knowledgeเรื่องเล่าสะกิดสุขภาพ Health Story

ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน การวิจัยใหม่ ช็อควงการจากญี่ปุ่น พบแนวทางรักษา

ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน การวิจัยใหม่ช็อควงการจากญี่ปุ่น พบแนวทางรักษา

เรามักได้ยินผู้สูงอายุ บ่นว่า เพลีย ง่วงนอน ตอนกลางคืนไม่ค่อยได้นอน ตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อย ๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง

Toromoto Kazumasa อาจารย์หมอทางด้านระบบทางเดินปัสสาวะ (urologist) แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์นารา (Nara Medical University) ได้เผยแพร่งานวิจัย

โดยการวิจัย ดังกล่าว ได้ให้ หนุ่ม Terakita  ไปอาศัยอยู่ที่บ้านคุณลุง Hayashi

ทั้งคู่ อยู่ด้วยกันทั้งวัน และทำกิจกรรมต่าง ๆ เหมือนกัน อาหารที่ทาน คำนวณโดย Yamaguchi Chikage นักโภชนาการ ของ Nara Medical University Hospital) และการวัดปริมาณปัสสาวะนั้น ให้ปัสสาวะใส่ถ้วยตวง

ก่อนเริ่มกิจกรรม ในตอนเช้า ให้ทั้งคู่ ปัสสาวะให้หมดกระเพาะปัสสาวะ (bladder)

อาหารเมื้อช้า เริ่มต้นด้วยอาหารญี่ปุ่น มีน้ำอยู่ในอาหาร 600 mL และดื่มน้ำชา 530 mL รวม 1,130 mL

– หนุ่ม Terakita ฉี่ 4 ครั้ง ปริมาณ 300+400+300+100 ml
– ลุง Hayashi ฉี่ 2 ครั้ง ปริมาณ 100+110 ml

มื้อกลางวัน เป็นแซนวิช มีน้ำอยู่ในอาหาร 140 ml และดื่มน้ำเปล่า 380 ml

ช่วงบ่ายออกกำลังกาย ด้วยการทำสวน หลังจากนั้น เล่น VDO GAME ด้วยกัน

– หนุ่ม Terakita ปัสสาวะ 3 ครั้ง 350+200+150 ml

– ลุง Hayashi ปัสสาวะ 3 ครั้ง 40+180+70 ml

 และก็ถึงเวลาที่ทั้ง 2 คนแยกกัน

ก่อนเข้านอน หนุ่ม Terakita ปัสสาวะ 4 ครั้ง 320+150+180+150 ml

ลุง Hayashi ปัสสาวะ 1 ครั้ง 180 ml

เมื่อคำนวณดูปริมาณน้ำที่เข้าร่างกายในวันนั้น ทั้งคู่มีปริมาณน้ำเข้าร่างกาย คนละ 2,730 ml
โดยที่ หนุ่ม Terakita เหลือปริมาณน้ำในร่างกายน้อย ในขณะที่ ลุง Hayashi มีปริมาณน้ำเหลือในร่างกายเยอะมาก

ในคืนนั้น หนุ่ม Terakita นอนหลับรวดเดียว โดยไม่ได้ตื่นระหว่างคืน
ส่วนลุง Hayashi ตื่นเพื่อไปปัสสาวะ 3 ครั้ง 130+420+280 ml
วันรุ่งขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมา จึงรู้สึกอ่อนเพลีย ง่วง งีบบ่อยๆ

ก่อนเข้านอน หมอ อัลต้าซาวด์ดู น้ำในกระเพาะปัสสาวะ ปรากฎว่า ในกระเพาะปัสสาวะของทั้งคู่ เกือบไม่มีน้ำ  แล้วน้ำในร่างกายของ ลุง Hayashi หายไปอยู่ที่ไหน?

เพื่อพิสูจน์ว่า น้ำในร่างกายของลุง Hayashi ไปอยู่บริเวณน่อง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการวัดรอบน่องของ ลุง Hayashi ใน 2 ช่วงเวลา


– ตอนตื่นนอน ข้างขวาวัดได้ 40.5  เซนติเมตร ข้างซ้าย วัดได้ 41.5 เซนติเมตร

– เมื่อก่อนนอน ข้างขวาวัดได้ 42.7 เซนติเมตร ข้างซ้าย วัดได้ 45.7 เซนติเมตร 

นอกจากนี้ ยังได้พิสูจน์โดยใช้อุปกรณ์วัดปริมาณน้ำในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  แสดงให้เห็นว่า


ในช่วงเช้า น้ำ ในลำตัวและแขน เกือบคงที่
แต่น้ำในส่วนขา ค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงบ่าย น้ำในขาเกือบคงที่
แต่น้ำในแขนและลำตัวค่อย ๆ ลดลง

และตอนกลางคืนก่อนนอน น้ำในลำตัวค่อย ๆ ลด น้ำในแขนคงที่
แต่น้ำในขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำในขาของลุง Hayashi ก่อนนอนมีปริมาณน้ำมากกว่าตอนเช้าถึง 1.5 ลิตร !!!

สาเหตุเพราะ วงจรของหลอดเลือดในร่างกายของคนเรา มีเส้นเลือดแดงจากหัวใจ ลงมาที่น่อง
แล้วกลับขึ้นหัวใจทางเส้นเลือดดำ

เมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหว หัวใจกับน่อง จะเปรียบเสมือนปั้มน้ำ  ถ้าน้ำในร่างกายมีมาก ก็จะทิ้งออกทางกระเพาะปัสสาวะ ที่อยู่ตรงกลางร่างกาย

เมื่อมีอายุมากขึ้น ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ปั้มน้ำที่น่อง ไม่ค่อยได้ทำงาน น่องจึงเป็นเหมือนแท็งค์น้ำ โดยมีน้ำแทรกอยู่ระหว่างกระดูก และผิวหนัง เรียกว่า “interstitium”

และเมื่อล้มตัวลงนอน น้ำบริเวณน่อง ค่อย ๆ ย้อนกลับมาที่กระเพาะปัสสาวะ ตามแรงน่วมถ่วงของโลก จึงทำให้ลุกไปปัสสาวะบ่อยหลังจากที่นอน

คำแนะนำเพื่อการบำบัดดังกล่าว มี 3 วิธี คือ 

  • สวมถุงน่องแบบรัดในตอนกลางวัน
  • นอนยกขาขึ้นสูง
  • งดทานเค็ม

การทดลองที่ 1

คุณลุง Ando โดยปกติแล้ว จะต้องตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน  4-5 ครั้งทุกคืน 

วันหนึ่งคุณลุง Ando  ได้รับ “ถุงเท้ารัดน่อง” (compression stockings) จากคุณ Toshida Masaki Assit. Director, ศูนย์ศึกษาผู้สูงอายุ (แห่ง National Center for Geriatric & Gerontology)

โดยเข้าสวมมันไว้ตอนกลางวัน เพื่อช่วยให้น่องไม่กักเก็บน้ำ ทำให้ปัสสาวะในตอนกลางวันมากขึ้น และขาไม่บวม คุณลุง Ando สามารถนอนรวดเดียวยันเช้าโดยไม่ต้องตื่นไปปัสสาวะตอนกลางคืน

การทดลองที่ 2

คุณหมอ แนะนำให้ลุง Hayashi นอนยกขาให้สูงขึ้น ประมาณ 15 เซนติเมตร ในช่วงบ่ายของแต่ละวัน ครั้งละประมาณ 30 นาที

หลังจากทำติดต่อกัน 1 เดือน จากที่ลุง Hayashi ต้องตื่นไปปัสสาวะตอนกลางคืน 3 ครั้ง เหลือเพียง 1.5 ครั้ง เท่านั้น

การบำบัดดังกล่าวนี้เป็นการบำบัดโดยเปลี่ยนอุปนิสัย (behavior therapy) ซึ่งดีกว่าการรักษาด้วยยา เพราะว่าไม่มีผลข้างเคียง (side effect)

นอกจากนี้ การงดทานเค็ม จะช่วยในเรื่องความดันโลหิตได้ เพราะการทานอาหารที่มีรสเค็ม ทำให้ความดันโลหิตสูงแล้ว ยังทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำอีกด้วย

คำเตือน : สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อน